บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สุขภาพ - 5 ความเชื่อไม่จริงเรื่องสุขภาพ




นม ที่สุดของเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย 
        ยกเครื่องความเชื่อเกี่ยวกับนมครั้งใหญ่ นม ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างที่เข้าใจกันมา มิหนำซ้ำอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาอีก คือนมไม่ได้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด มีอาหารประเภทอื่นที่มีแคลเซียมสูงกว่านม เช่น งาดำ, ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ ยังพบว่าโปรตีนในนม เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ อาทิ ภูมิแพ้, โรคอ้วน, โรคไขมันในเลือดสูง และโรคมะเร็งต่างๆ
       
       

 น้ำหวาน-ของหวาน ทำให้กระชุ่มกระชวย 
        อาการสดชื่นหลังทานหวานจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ การดื่มของหวานเวลาร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วยังส่งผลระยะยาวคือยิ่งซ้ำเติมให้อ่อนเพลียง่าย เรี่ยวแรงโรยรายิ่งขึ้นไปอีก ยังส่งผลให้หิวบ่อยกินบ่อยอีกด้วย
       
กินเจ เพื่อสุขภาพ
        เชื่อกันว่า การกินผัก กินผลไม้ กินมังสวิรัติ   นั้นส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่กลับมาพิจารณาอีกที อาหารเจกลับมีการปรุงแต่งรสชาติ มีการดัดแปลงรูปแบบกันมากขึ้นจนแทบไม่หลงเหลือคุณค่าทางธรรมชาติ กลายเป็นตัวปัญหาส่งผลต่อสุขภาพ
       
อบสมุนไพร ยิ่งนานยิ่งดี
        การอบมนุนไพรยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพนั้นไม่ใช่เรื่องจริงเลย ตามตำราแล้วการอบซาวนาให้ได้ประโยชน์ ของต้นตำรับชาวฟินแลนด์ บอกว่าควรอบร้อนเป็นเวลา 3-5 นาที แล้วสลับด้วยการแช่น้ำเย็น 1-2 นาที โดยทำเช่นนี้กันไปเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี
       
อาหารเสริม ชูโรงสุขภาพดี
        หลายคนเชื่อว่ากินอาหารเสริมหรือวิตามินแล้วจะทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ แต่โดยปกติแล้วคนที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเพียงแค่ทานให้ครบ หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารแต่งสี แต่งกลิ่น ใส่ผงชูรส ก็เซย์กู๊ดบายอาหารเสริมได้เลย เพราะไม่มีความจำเป็น
       
ข้อมูลจาก www.balavi.com



Credit : <http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000017262

ข้อคิดดีๆ - ความรักตามคำพิพากษา


"ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรัก ความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิด และการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวัง จำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความผิด และการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่……......"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6083/2546 คดีเสริม สาครราษฎร์

พุทธศาสน์ - ธารณะปริตรคาถา


พระธารณะปริตรคาถา


(๑). พุทธานัง ชีวิตัสสะ นะ สักกา เกนะจิ, อันตราโย กาตุง ตถา เม โหตุ

    * อันพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย บุคคลใดไม่อาจกระทำอันตรายได้ฉันใด ขออันตรายทั้งปวงจงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน


(๒). อตีตังเส พุทธัสสะ ภควโต อัปปฏิหะตัง ญานัง,

อนาคะตังเส พุทธัสสะ ภควโต อัปปฏิหะตัง ญานัง,

ปัจจุปปันนังเส พุทธัสสะ ภควโต อัปปฏิหะตัง ญานัง,

    * พระพุทธองค์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญ ๖ ประการ*
    * ทรงมีพระญาน ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
    * ที่ไม่มีเครื่องกระทบ ไม่มีการปิดกั้น ถดถอย

อิเมหิ ตีหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภควโต

    * ทรงเป็นผู้มีพระคุณ สมบูรณ์ด้วยพระญานทั้ง ๓ ดังกล่าวแล้วนี้

(* บุญทั้ง ๖ ประการ คือ อิสลริยะ ธัมมะ ยสะ สิริ กามะ และปยัตตะ)


(๓). สัพพัง กายะกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง,

สัพพัง วจีกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง,

สัพพัง มโนกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง,

    * พระพุทธองค์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญ ๖ ประการ*
    * กายกรรมทั้งปวง วจีกรรมทั้งปวง มโนกรรมทั้งปวงของพระองค์ ทรงมีพระญาณเป็นเครื่องนำ เป็นไปตามลำดับพระญาน

อิเมหิ ฉะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภควโต

    * ทรงเป็นผู้มีพระคุณสมบูรณ์ด้วยพระญาณทั้ง ๖ ดังกล่าวแล้วนี้

(* บุญทั้ง ๖ ประการ คือ อิสลริยะ ธัมมะ ยสะ สิริ กามะ และปยัตตะ)


(๔). นัตถิ ฉันทัสสะ หานิ,

    * อันว่าความเสื่อมลงของคุณธรรมทั้ง ๖ นี้ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้า ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญ ๖ ประการ*
    * คุณธรรม ๖ นี้ได้แก่ ความเสื่อมถอยลงของพระพุทธประสงค์ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

นัตถิ ธัมมะเทสะนายะ หานิ,

    * ความเสื่อมถอยลงของการแสดงธรรม ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

นัตถิ วีริยัสสะ หานิ,

    * ความเสื่อมถอยลงแห่งความเพียร ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

นัตถิ วิปัสสะนายะ หานิ,

    * ความเสื่อมถอยลงของวิปัสสนาญาน ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

นัตถิ สมาธิสสะ หานิ,

    * ความเสื่อมถอยลงของสมาธิ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

นัตถิ วิมุตติยา หานิ,

    * ความเสื่อมถอยลงของความสุขในอรหัตผล ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

อิเมหิ ทวาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภควโต

    * พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้มีพระคุณ สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมทั้ง ๑๒ ประการ ดังกล่าวแล้วนี้


(๕). นัตถิ ทวา, นัตถิ รวา,

    * พระพุทธองค์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญ ๖ ประการ* ชื่อว่า
    * การหัวเราะสรวลเสเฮฮา ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์
    * การพูดพลั้งเผลอโดยขาดสติ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

(* บุญทั้ง ๖ ประการ คือ อิสสริยะ ธัมมะ ยสะ สิริ กามะ และปยัตตะ)

นัตถิ อัปผุตัง,

    * พระธรรมที่มิได้สัมผัสด้วยพระญาน ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

นัตถิ เวคายิตัตตัง,

    * การหุนหันพลันแล่น ขาดวิจารณญาน ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์


นัตถิ อัพยาวะฏะมโน,

    * การปล่อยใจเหม่อลอย ขาดสติ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์

นัตถิ อัปปฏิสังขานุเปกขา,

    * การเพ่งเฉยโดยปราศจากการพิจารณา ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์


อิเมหิ อัฏฐาระสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ

    * พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมทั้ง ๑๘ ประการ ดังกล่าวแล้วนี้

พุทธัสสะ ภควโต นโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง

    *  ข้าพเจ้า ขอน้อมไหว้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ (พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ อันมีพระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู เป็นต้น)


(๖). นัตถิ ตถาคะตัสสะ กายะทุจจะริตัง,

นัตถิ ตถาคะตัสสะ วจีทุจจะริตัง,

นัตถิ ตถาคะตัสสะ มโนทุจจะริตัง,

    * การประพฤติไม่ดี ที่เรียกว่า กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้เสด็จมาดีแล้ว เหมือนดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ


นัตถิ อตีตังเส พุทธัสสะ ภควโต ปฏิหะตัง ญาณัง,

นัตถิ อนาคะตังเส พุทธัสสะ ภควโต ปฏิหะตัง ญาณัง,

นัตถิ ปัจจุปปันนังเส พุทธัสสะ ภควโต ปฏิหะตัง ญาณัง,

    * พระญานที่เป็นไปในส่วนอดีต อนาคต และปัจจุบัน ซึ่งมีการปกปิด กีดกัน ถดถอย ไม่มีแก่พระพุทธเจ้า ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วย บุญทั้ง ๖ ประการ*
    * (บุญทั้ง ๖ ประการ คือ อิสลริยะ ธัมมะ ยสะ สิริ กามะ และปยัตตะ)


นัตถิ สัพพัง กายะกัมมัง ญาณาปุพพังคมัง ญานัง นานุปริวัตตัง,

นัตถิ สัพพัง วจีกัมมัง ญาณาปุพพังคมัง ญานัง นานุปริวัตตัง,

นัตถิ สัพพัง มโนกัมมัง ญาณาปุพพังคมัง ญานัง นานุปริวัตตัง,

    * กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่ไม่มีพระญานเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามพระญาน ย่อมไม่มีแก่พระพุทธองค์


อิมัง ธาระนัง อะมิตัง อะสะมัง,

    * พระธารณะปริตรที่ได้สาธยายเป็นประจำนี้ ไม่มีอะไรเสมอเหมือน

สัพพะสัตตานัง ตาณัง เลณัง,

    *  เป็นที่พึ่งพึงอาศัยของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

สังสาระภยะภีตานัง อัคคัง มหาเตชัง.

    * ผู้กลัวภัยในวัฏสงสาร


อิมัง อานันทะ ธารณะปริตตัง,

    * ดูก่อนอานนท์ เธอจงท่องสาธยายพระธารณะปริตรนี้

ธาเรหิ วาเจหิ ปริปุจฉาหิ,

    * จงสอนและให้สอบถามพระคาถาอันประเสริฐยิ่ง มีเดชมากนี้เถิด


ตัสสะ กาเย วิสัง นะ กเมยยะ อุทะเก นะ ลัคเคยยะ,

    * ผู้สวดมนต์นี้เป็นประจำไม่ตายด้วยพิษงู พิษนาค

อัคคิ นะ ฑเหยยะ, นานาภยะวิโก,

    * ไม่ตายในน้ำ ในไฟ เป็นผู้พ้นภัยนานา


นะ เอกาหาระโก, นะ ทวิหาระโก, นะ ติหาระโก,

นะ จตุหาระโก,

    * ใครคิดทำร้ายวันเดียวไม่สำเร็จ สองวัน สามวัน สี่วันก็ไม่สำเร็จ


นะ อุมมัตตะกัง, นะ มูฬหะกัง,

    * ไม่เป็นโรคบ้าฟุ้งซ่าน ไม่หลงสติ

มนุสเสหิ อะมนุสเสหิ นะ หิงสะกา.

    * มนุษย์ อมนุษย์ทั้งหลาย ไม่สามารถทำร้าย หรือเบียดเบียนได้



(๗). ตัง ธารณะปริตตัง ยะถา กตะมัง

    * อันว่าพระธารณะปริตรนี้ศักศิ์สิทธิ์อย่างไร

ชาโล, มหาชาโล,

    * มีอานุภาพ เหมือนพระอาทิตย์ ๗ ดวงขึ้นพร้อมกันในเวลาโลกาวินาศ
    * มีฤทธิ์เดชเหมือนตาข่ายเหล็กกางกั้นภัยจาก เทวดา นาคา ครุฑ ยักษ์ รากษส เป็นต้น


ชาลิตเต, มหาชาลิตเต,

    * สามารถป้องกันอันตรายที่เกิดจากน้ำ ไฟ พระราชา โจร ศัตรูทั้งหลาย
    * มีอานุภาพให้พ้นจากกัปทั้ง ๓ คือ โรคันตรกัป สัตถันตรกัป และ ทุพภิกขันตรกัป

ปุคเค, มหาปุคเค,

    * มีอานุภาพให้พ้นจากโรดต่างๆในขณะปฏิสนธิ คือเป็นใบ้ บอด หนวก เป็นบ้าฟุ้งซ่าน และไม่ตกต้นไม้ ตกเขา ตกเหวตาย


สัมปัตเต, มหาสัมปัตเต,

    * สามารถได้สมบัติที่ยังไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่ได้แล้วก็เจริญเพิ่มพูนขึ้น

ภูตังคัมหิ ตะมังคะลัง,

    * สามารถกำจัดความมืด ให้เข้าถึงความสว่างได้



(๘). อิมัง โข ปนานันทะ ธารณะปริตตัง สัตตะสัตตะติ สัมมาสัมพุทธะโกฏีหิ ภาสิตัง,

    * ดูก่อนอานนท์ พระธารณะปริตรนี้ อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๗๗ โกฏิ ตรัสไว้ว่า:


วัตเต, อะวัตเต, คันธะเว, อะคันธะเว,

    * พึงทำประโยชน์ที่ดี ไม่พึงทำประโยชน์ที่ไม่ดี
    * พึงนำมาซึ่งกลิ่นรสแห่งธรรมะที่ดี ไม่นำมาซึ่งธรรมะที่ไม่ดี


โนเม, อะโนเม, เสเว, อะเสเว,

    * พึงน้อมนำมาซึ่งจิตใจดี ไม่น้อมนำมาซึ่งจิตใจร้าย
    * พึงสมาคมกับคนดี ไม่พึงสมาคมกับคนไม่ดี


กาเย, อะกาเย, ธาระเณ, อะธาระเณ,

    * พึงทำกายให้เป็นกายดี ไม่ทำให้เป็นกายร้าย
    * พึงนำมาแต่การกระทำที่เป็นฝ่ายดี ไม่นำมาซึ่งการกระทำไม่ดี


อิลลิ, มิลลิ, ติลลิ, มิลลิ,

    * พึงหลับฝันเห็นแต่สิ่งดี ไม่พึงหลับฝันร้าย
    * พึงเห็นอดีตนิมิตที่ดี ไม่พึงเห็นอดีตนิมิตที่ไม่ดี


โยรุกเข, มหาโยรุกเข,

    * ต้นไม้ที่ตายแล้วสามารถฟื้นคืนมาได้
    * ต้นไม้ที่ยังเป็นอยู่ก็ทำให้เจริญงอกงาม


ภูตังคัมหิ, ตะมังคะลัง,

    * สามารถกำจัดความมืด ให้เข้าถึงความสว่างได้


(๙). อิมัง โข ปนานันทะ ธารณะปริตตัง นวะนวุติยา สัมมาสัมพุทธะโกฏีหิ ภาสิตัง,

    * ดูก่อนอานนท์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙๙ โกฏิ ได้ตรัสแสดงไว้ว่า พระธารณะปริตรนี้ช่วยให้:


ทิฏฐิลา, ทัณฑิลา,

    * รู้ความคิดร้ายของผู้อื่น
    * แคล้วคลาดจากอาวุธ เครื่องประหารทุกชนิด


มันติลา, โรคิลา,

    * สามารถทำให้เวทมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
    * กำจัดปัดเป่าอันตรายจากโรคต่างๆได้


ขะระลา, ทุพภิลา,

    * รอดปลอดภัยจากโรคร้ายแรง
    * หลุดพ้นจากเครื่องจองจำ พันธนาการได้


เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ

    * ด้วยอำนาจแห่งสัจจะวาจานี้

โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา.

    * ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อเทอญ.





พุทธศาสน์ - อนุศาสน์ 8

อนุศาสน์ 8 ประการของพระภิกษุ

อนุศาสน์ คือ คำสอนเบื้องต้นที่พระอุปัชฌาย์หรือกรรมวาจาจารย์บอกแก่ภิกษุผู้บวชใหม่ในเวลาอุปสมบท มี ๘ ข้อ แบ่งเป็น นิสัย ๔ และ อกรณียะ ๔

นิสัย ๔ คือปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต

๑. เที่ยวบิณฑบาต
ภิกษุในพุทธศาสนาไม่มีอาชีพอื่น แต่ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยโภชนะคือคำข้าวอันหาได้ด้วยปลีแข้ง ด้วยการรับอาหารจากชาวบ้านโดยกิริยาที่มิใช่โดยการออกปาก เรียกว่า การบิณฑบาต
ส่วนภัตที่ได้โดยวิธีอื่น เช่น ภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์ การนิมนต์ สลากภัต ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ ภัตถวายในวันปฏิบท เหล่านี้แม้นับว่าเป็นการเลี้ยงชีพสุจริต แต่ก็จัดว่าเป็นลาภเหลือเฟือสำหรับพระภิกษุ

๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าที่ภิกษุเก็บเศษผ้าท่อนเล็กท่อนน้อยซึ่งตกอยู่ตามพื้นดิน เปื้อนผุ่นไม่สะอาด ไม่สวยไม่งาม โดยที่สุดแม้ผ้าที่เขาใช้ห่อศพตกอยู่ตามป่าช้า ภิกษุเก็บมาเย็บปะต่อกันเป็นผืน ซัก เย็บ ย้อมใช้เป็นจีวรสำหรับนุ่งห่ม
ส่วนผ้าจีวรที่มีค่า ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าที่ชาวบ้านถวาย แม้รับได้แต่ก็จัดเป็นลาภเหลือเฟือสำหรับพระภิกษุ

๓. อยู่โคนต้นไม้ 
ภิกษุในพุทธศาสนาเป็นผู้สละบ้านเรือน ออกบวชแล้วเป็นผู้ไม่มีเรือน อาศัยอยู่ตามร่มไม้ ป่าเขา เงื้อมผา เถื่อนถ้ำ
กุฏิและวิหาร อาคารมีหลังคามุงที่ชาวบ้านมีศรัทธาสร้างถวายก็สามารถอยู่อาศัยได้ แต่นับเป็นลาภเหลือเฟือสำหรับพระภิกษุ

๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
ภิกษุในพุทธศาสนาฉันสมอและมะขามป้อมดองด้วยน้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะเป็นยา
ส่วนยาที่ผสมด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย จัดเป็นลาภเหลือเฟือสำหรับภิกษุ

อกรณียะ ๔ คือกิจที่ภิกษุไม่ควรทำ

๑. เสพเมถุน 
ภิกษุไม่พึงเสพเมถุนธรรม ไม่ว่ากับคนหรือสัตว์ ทั้งที่มีชีวิตหรือตายแล้ว ภิกษุเสพเมถุนจะขาดจากความเป็นภิกษุทันที เปรียบเหมือนคนถูกตัดศรีษะแม้จะนำศีรษะมาต่อเข้ากับร่างก็ไม่อาจมีชีวิตฟื้นขึ้นมาได้

๒. ลักขโมย 
ภิกษุไม่พึงถือเอาของที่เขาไม่ให้ มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป ในปัจจุบันบาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ เปรียบเหมือนใบไม้แก่เหลืองหลุดจากขั้วไม่อาจมีความเขียวสดได้อีก

๓. ฆ่าสัตว์
ภิกษุไม่พึงแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต รวมทั้งทำครรภ์ให้ตกไป ด้วยตนเองก็ดี ด้วยการจ้างวานผู้อื่นก็ดี ด้วยการพรรณาคุณให้เขาทำก็ดี บังคับให้เขาทำก็ดี ใช้คาถาอาคมก็ดี หรือใช้อุบายอื่นๆ ก็ดี ทำแล้วขาดจากความเป็นพระภิกษุ

๔. พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน
ภิกษุไม่พึงอวดอุตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่จริง คือ อวดคุณว่าตนมีฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ หรือมรรคผลใดๆ ทำแล้วขาดจากความเป็นภิกษุ

หนังสือ - นิยายกำลังภายในจีน

ฤทธิ์มีดสั้น



ยุทธการล่าบัลลังก์